post

เคล็ดลับหน้าใส ทำยังไงให้ผิวอ่อนวัยไปนาน ๆ

ทุกคนอยากดูเด็กและอ่อนเยาว์ไปตลอดกาล ถึงคนเราจะเข้าใจกฎธรรมชาติ แต่จะมีวิธีการไหนไหมที่จะฝืนไม่ให้ดูแก่มากเกินไปกว่าที่ควร แน่นอนว่ามี! เพราะเราได้ทำการรวบรวมเคล็ดลับแบบธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งพาคลินิกศัลยกรรม และพร้อมจะนำทุกคนไปเรียนรู้เทคนิคบำรุงผิวดี ๆ ที่ทำให้ดูอ่อนกว่าวัยไปหลายปีเลยทีเดียว

  1. บำรุงผิวอย่างจริงจัง

การบำรุงผิวสามารถทำได้ทั้งการทาครีมและการทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ผิวได้รับวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอต่อร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด เพราะจะทำให้คอลลาเจนสลายไว ผิวจะเหี่ยวง่าย นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารทำร้ายผิว เช่น แอลกอฮอล์ ของทอด คาเฟอีน เพราะจะทำให้ผิวมัน เกิดการอุดตัน และนำไปสู่การอักเสบได้ง่าย

  1. เช็ดเครื่องสำอางให้ถูกวิธี

การแต่งหน้าเป็นตัวช่วยเสริมความมั่นใจให้กับสาว ๆ แต่ถ้าไม่ล้างให้สะอาด เครื่องสำอางที่ตกค้างจะทำให้ผิวพังอย่างรวดเร็ว ดังนั้นต้องใส่ใจในการล้างโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อล้างเครื่องสำอางโดยเฉพาะ แต่ต้องล้างอย่างทะนุถนอม ไม่ขัดถูแรง ๆ เพราะจะทำให้ผิวได้รับแรงเสียดสีมากไปจนเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร

  1. ทาครีมกันแดดอย่าให้ขาด

แดดประเทศไทยทำร้ายผิดอย่างรุนแรงในทุกฤดู ด้วยความที่เราอาศัยอยู่ในเมืองร้อน ครีมกันแดดจึงเป็นเหมือนไอเทมติดตัวที่จะช่วยป้องกันรังสี UV ที่จะเข้ามาทำร้ายผิว ดังนั้นต้องหมั่นทาครีมกันแดดทั้งผิวหน้าและผิวกายอย่างสม่ำเสมอ ในปริมาณที่เหมาะสมคือประมาณ 2 ข้อนิ้วสำหรับใบหน้า และอย่าลืมทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงด้วย

  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำนับเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกายถึง 60% การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น และช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายผ่านทางระบบขับถ่ายที่ทำงานได้เสถียรขึ้น ทำให้ผิวไม่แห้งกร้านและทำให้ผิวกระชับมากขึ้น โดยอย่างน้อยใน 1 วันควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 1.5 ลิตร 

  1. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของก๊าซออกซิเจนไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น จึงทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังทำให้การหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมความเครียดทำงานได้เป็นปกติ จึงทำให้สุขภาพจิตดี ส่งผลให้ดูอ่อนกว่าวัยนั่นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นหลักการที่สามารถทำได้จริงเพื่อส่งเสริมให้ผิวพรรณทั้งใบหน้าและร่างกายดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพามีดหมอ ใครที่กำลังมองหาวิธีดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้นสามารถทำตามได้ทุกคน ขอแค่ตั้งใจทำอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจและดูแลทุกส่วนของร่างกายอย่างพิถีพิถัน จะมีผิวสวยอ่อนวัยไปได้นานแน่นอน

post

รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดโบท็อกซ์ เห็นผลคุ้มค่า

หลายคนเลือกทำศัลยกรรมความงามปรับรูปร่างหน้าตาให้ดูดีเพิ่มความมั่นใจในตนเอง ขณะที่มีอีกหลายคนกังวลเรื่องผลกระทบในระยะยาวและความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ การตัดสินใจทำเป็นครั้งแรก มักจะเริ่มด้วยโบท็อกซ์ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย ริ้วรอยหายไปในทันที อยากสวยแต่ยังกังวลใจเรารวมเรื่องราวน่ารู้มาให้คนที่กำลังตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ครั้งแรก

โบท็อกซ์ทำอะไรได้บ้าง

การฉีดโบท็อกซ์ที่รู้จักกันดีคือฉีดลดรอยย่นบริเวณหน้าผาก ตีนกา หางตา ระหว่างคิ้ว ผิวหนังบริเวณคอ ช่วยให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียน ผิวตึงและดูเด็กขึ้น โบท็อกซ์ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดขนาดกรามทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็ก กรอบหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังคุณสมบัติอื่นๆ ที่คนส่วนใหญ่นึกไม่ถึง เช่น ฉีดใต้รักแร้ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อและระงับกลิ่นกายได้จะเห็นผลลัพธ์ใน 1 เดือน รวมถึงใช้รักษาโรคได้ การฉีดโบท็อกซ์ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายบรรเทาอาการปวดหัวในผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรัง และฉีดกล้ามเนื้อลดอาการตากระตุกได้

กี่วันถึงจะเห็นผลลัพธ์

การฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยเป็นที่สนใจจากสาวๆ ทุกวัย ช่วยให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยดูจางลง เห็นผลภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังฉีดไป 3 วันจะเริ่มรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด และอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แม้ว่าการฉีดตั้งแต่อายุยังน้อยช่วยป้องกันริ้วรอยได้ แต่ไม่ขอแนะนำเพราะผิวสาวเต่งตึงสดใสไปตามวัยอยู่แล้ว ส่วนใหญ่มักจะเริ่มสนใจฉีดโบท็อกซ์เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไปเป็นวัยที่ผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อยให้ฉีดป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยลึกถาวร หลังจากนั้นให้ฉีดปริมาณน้อยลงอย่างสม่ำเสมอทุก 3-4 เดือน

เตรียมตัวอย่างเหมาะสมก่อนและหลัง

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรตรวจร่างกายและประเมินโอกาสเกิดผลข้างเคียง เพราะโบท็อกซ์เป็นของเหลวอาจกระจายเป็นวงกว้างจากบริเวณที่ฉีด ก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาแอสไพริน หรือยาระงับการอักเสบ 1-2 อาทิตย์ ก่อนฉีดประมาณ 2-3 วันควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน กระเทียม ปลาร้า ของหมักดอง และอาหารอย่างอื่นๆ ที่อาจทำให้เลือดออกมากและเกิดรอยฟกช้ำได้

ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

การฉีดโบท็อกซ์เป็นวิธีการรักษาริ้วรอยที่มีมานานแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องใส่ใจกับปริมาณโบท็อกซ์ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ได้รูปลักษณ์ที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมโบท็อกซ์ ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์คือขั้นตอนกรอกเอกสาร ถ่ายรูป และปรึกษากับแพทย์ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ส่วนกระบวนการฉีดเพียง 10 นาทีก็เสร็จและประคบน้ำแข็งบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ราว 5 นาทีหลังจากฉีดไปแล้วเพื่อป้องกันการอักเสบบวมแดงและรอยฟกช้ำภายหลัง หลังฉีดอย่ากด นวด ก้มหน้า นอนราบ หลีกเลี่ยงการอยู่หน้าเตาร้อนๆ และงดเว้นการออกกำลังกายหนักๆ นาน 4 ชั่วโมง เริ่มเห็นผลการรักษาตั้งแต่ 2-7 วัน ผิวหน้าจะกลับมาเต่งตึงอีกครั้ง

post

ปัญหาผมแห้ง เรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนควรรู้

ปัญหาผมแห้งเป็นสิ่งที่บั่นทอนบุคลิกภาพที่ดี โดยเฉพาะผู้หญิงผมยาวหรือมีการจัดแต่งทรงผมตามแฟชั่นเป็นประจำ หากมีปัญหาผมเสียแห้งกรอบ ชี้ฟู ก็จะทำให้ขาดความมั่นใจ จึงควรทราบสาเหตุและแก้ไขตรงจุดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพผมจากภายในด้วย

นิยามของผมแห้งเสีย

อาการผมแห้งเกิดจากเกล็ดผมเล็ก ๆ ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของเส้นผมถูกทำลาย ทำให้การเก็บกักน้ำของเส้นผมลดน้อยลง ทางวิทยาศาสตร์คำนวณไว้ว่าเส้นผมที่ดีต้องมีระดับความชุ่มชื้นภายในประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หากต่ำกว่านั้น จะมีปัญหาเส้นผมแห้งเสียเหมือนไม้กวาด ขาดน้ำหนัก ชี้ฟูง่าย จัดทรงยาก

สาเหตุของปัญหาผมแห้งที่พบบ่อยในคนไทย

1. การสระผมบ่อย

เนื่องจากประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อนชื้น การทำงานและออกกำลังกายจะทำให้เหงื่อออกมาก จึงทำให้คนส่วนใหญ่สระผมบ่อยวันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งจะทำให้มีปัญหาผมแห้งง่าย อันเกิดจากสารเคมี น้ำหอมส่วนประกอบต่าง ๆ ในผลิตภัณฑ์ที่ทำลายเกล็ดผมให้อ่อนแอ

2. การสระผมด้วยน้ำอุ่น

โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวหรือการอาบน้ำตอนกลางคืน หลายคนจะรู้สึกสบายเมื่อใช้น้ำอุ่น แต่นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เส้นผมขาดความชุ่มชื้น เพราะทำให้เกล็ดผมเปิด และยังทำให้มีปัญหารังแคตามมาด้วย

3. การใช้อุปกรณ์ในการจัดแต่งทรงผม

อุปกรณ์จัดทรงผมมักมีการสร้างความร้อนที่ทำลายสุขภาพผม เช่น ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม การม้วนผม ฯลฯ โดยเฉพาะบางอาชีพที่ต้องทำงานหน้ากล้อง เช่น พิธีกร ยูทูปเบอร์ ประชาสัมพันธ์ แอร์โฮสเตส นักแสดง ฯลฯ ที่จะต้องแต่งทรงผมให้สวยงามทุกวัน จะพบว่าตัวเองจะมีปัญหาเส้นผมแห้งแตกปลายบ่อย ๆ

4. การย้อมผมบ่อยเกินไป

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารเคมีกัดสีผม จะทำให้เส้นผมติดสีใหม่ได้ง่าย แต่ก็เป็นการทำลายเส้นผมให้แห้งกรอบ และหากย้อมผมบ่อยเกินไป เช่น เปลี่ยนสีผมทุก 2-3 เดือน จะทำให้ผมแห้งชี้ฟูความหยาบกระด้างอย่างเห็นได้ชัด และต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานนิยามของผมแห้งเสีย

วิธีแก้ปัญหาผมแห้งเสีย

ควรวิเคราะห์ปัจจัยของแต่ละคน เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นความเสี่ยงทำให้ผมแห้งเสีย ซึ่งแตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้ ในแต่ละวันควรสระผมด้วยน้ำเย็นและใช้พัดลมธรรมดา นอกจากนี้ ยังต้องใช้เซรั่มเพื่อการบำรุงเส้นผม เสริมความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ที่ขาดไม่ได้คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มโอเมก้า 3 จากน้ำมันปลาทะเลลึก ที่จะช่วยในการฟื้นฟูเส้นผมได้อย่างล้ำลึกด้วย